112 เท่าที่เล่าได้ เล่น Quizรู้จักราษฎรเข้าใจ112
วัฒน์ วรรลยางกูร
วัฒน์ วรรลยางกูร
frame
วัฒน์ วรรลยางกูร
frame
วัฒน์ วรรลยางกูร
frame
วัฒน์ วรรลยางกูร
frame
วัฒน์ วรรลยางกูร
frame

วัฒน์ วรรลยางกูร

การใช้เวลาอยู่กับตนเองเกิดขึ้นกับวัฒน์เป็นประจำจนเคยชิน และอาจเหมือนคุณที่เมื่ออยู่ตัวคนเดียวแล้วจะมีกิจกรรมที่ชอบทำอยู่เสมอ บางคนมองว่า ทั้งคุณและเขาเป็นคนเหงา ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วการเป็นคนเหงาอย่างที่คนอื่นว่ากันก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกแย่ อาจมีบางครั้งที่คุณออกมาจากพื้นที่แห่งตัวตนของคุณ แต่คุณก็ยังไม่พบคนที่สามารถพูดคุยได้อย่างถูกคอ อย่างไรก็ตามคุณอาจเป็นคนหนึ่งที่พบเจอคนเหล่านั้นแล้วในวันนี้ หรืออาจเป็นคนหนึ่งที่จะถูกพบเจอจากคนอื่นในสักวัน วัฒน์เองก็เหมือนคุณเช่นกัน และเขาคงยังได้ใช้ชีวิตแบบเดียวกับคุณ หากวันหนึ่งเขาไม่ได้ถูกเรียกว่า ‘ผู้ต้องหาคดี 112’

แชร์

ช่วงประถมศึกษา ผมเป็นเด็กที่ชอบหนังสือบันเทิงเหมือนเด็กทั่วไป ผมชอบอ่านหนังสือมวยและอ่านนิยายผ่านนิตยสารบางกอกของญาติข้างบ้าน แต่ในนิยายเหล่านี้แหละ ที่มันมีการสอดแทรกเรื่องความฝันและความคิดเชิงอุดมคติบางอย่าง

ผมเริ่มสนใจเรื่องนี้เหล่านี้ตั้งแต่ตอนนั้นและทำให้ตอนโตมา ผมเลยหาหนังสือแนวนี้อ่านมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นหนอนหนังสือ

พอเข้าช่วงมัธยมศึกษา หนังสือที่ผมอ่านมักเป็นหนังสือที่เป็นผลพวงจากปี 2475 มาจนถึง 2500 ที่พูดถึงความก้าวหน้าของสังคมและสติปัญญา จำได้ว่าผมไปเจอมันอยู่ในตู้กระจกเก่าของโรงเรียนที่เอาไว้เก็บหนังสือต้องห้าม เพียงแต่ตอนนั้นบังเอิญตู้มันแตก ผมเลยแอบหยิบหนังสือต้องห้ามมาอ่านได้

ทั้งรวมเรื่องสั้นของอ.อุดากร หนังสือสงครามชีวิต หรือหนังสือแปลของกี เดอ โมปาสซองต์ เรื่อง แม่ก้อนไขมัน ทั้งหมดนั้นเปิดโลกของผม

เพราะคิดแบบนี้ ช่วงมัธยมฯ ผมเลยกลายเป็นเหมือนคนบ้านที่ไม่รู้จะคุยใคร แต่โชคดีที่ด้วยกระแสและจังหวะ ยุคนั้นมันเป็นช่วงก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 พอดี

ความไม่พอใจในระบอบเผด็จการของคนหนุ่มสาวเริ่มปะทุ มันเลยทำให้ผมเห็นว่าแท้จริงแล้วผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

แม้ที่ที่อยู่ผมอาจเป็นคนบ้า แต่ข้างนอกนั่นยังมีคนรุ่นใหม่อีกหลายคนที่ขบคิดเรื่องความหมายของการเรียนและการมีชีวิตอยู่เช่นกัน

หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย ด้วยสภาพบ้านเมืองและความรักในการเขียน ผมเลยเข้ากรุงเทพฯ มาทำงานเป็นนักข่าวของหนังสือพิมพ์อธิปัตย์ของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ผมเลยมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองช่วง ปี 2517-2519

ช่วงนั้นพลังนักศึกษาขึ้นสูงมาก กระแสสังคมนิยมนอกประเทศก็เข้ามาแรง ผมเองก็เป็นเหมือนคนหนุ่มส่วนใหญ่ของยุคสมัยนั้นที่มีจิตร ภูมิศักดิ์เป็นไอดอล ท่องบทกวีของจิตรได้ เพลงของจิตรก็ร้องได้ทุกเพลง เพลงเขาเพราะมากนะ ลองไปฟังดู

ผมร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง โดยทิ้งอาชีพของตัวเองไปเลย ผมอาสามาช่วยทั้งในแง่การพูดเรื่องการเมืองที่ทะลุฟ้า ดนตรี และศิลปะที่เน้นไปที่มุมเล็ก ๆ ของสังคม ซึ่งผลที่ออกมาถือว่าดีอยู่นะ

แต่ระหว่างนั้นสถานการณ์ก็เริ่มคล้ายกับเมื่อตอน 6 ตุลาฯ เข้าไปทุกที ผมเลยคิดกับตัวเองว่าถ้าเกิดการยึดอำนาจเมื่อไหร่ กูไป เพราะผมเชื่อว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยเหมือนสมัยผมเข้าป่าแน่ ๆ ดังนั้น กูไม่อยู่ให้มึงจับหรอก

22 พฤษภาคม 2557

หลังจาก คสช. ยึดอำนาจไม่กี่วัน มีหมายเรียกให้วัฒน์ วรรลยางกูรเข้าไปรายงานตัวตามคดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการจัดแสดงละครเรื่องเจ้าสาวหมาป่า ในงาน 40 ปี 14 ตุลา ต่อมาหมายเรียกกลายเป็นหมายจับ แต่ในเวลานั้นวัฒน์หลบภัยออกจากประเทศและมาอาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านแล้ว

วัฒน์ วรรลยางกูร

ช่วงที่หลบภัยใหม่ ๆ ผมโกรธมากนะ ความคิดและรู้สึกผมเยอะแยะไปหมด แม่งไม่เป็นธรรมน่ะ เบื่อ เซ็ง กินแต่เหล้า

เพราะว่ากันตามตรง ยุทธวิธีทางการเมืองผมพ่ายแพ้หมดรูป ถึงด้านของความคิด อุดมการณ์ และจุดมุ่งหมายถึงสังคมประชาธิปไตยของผมยังไม่แพ้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันสั่นคลอนผมมาก

ใจมันเหี่ยว อารมณ์ก็ห่อเหี่ยว ยิ่งมาเจอช่วงที่ผู้หลบภัยคนอื่นถูกอุ้มหายหรือฆาตกรรม มันยิ่งสะเทือนใจเข้าไปใหญ่

วัฒน์ วรรลยางกูร
frame
วัฒน์ วรรลยางกูร
frame
วัฒน์ วรรลยางกูร
frame
วัฒน์ วรรลยางกูร
frame

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ถ้ามองไปในรายชื่อผู้ที่หลบภัย จากชื่อชั้นแล้วคนที่อยู่ก่อนผมล้วนหายไปหรือถูกฆ่าไปหมดแล้ว ดังนั้นถ้าจะเกิดเหตุอีก ลำดับถัดมาคือคิวผม

ช่วงนั้นเพื่อนทุกคนโทรมาเตือนผมนะ ว่าให้ระวัง แต่ผมก็ได้แต่คิดว่าให้กูระวังยังไงเหรอ เพราะถ้าเขาจะเอา ผมไม่รอดหรอก ดังนั้นผมเลยเริ่มปลง ไม่รู้ต้องทำยังไงแล้ว ผมแพ้แล้ว เหมือนรอรับความตายเลย โชคดีที่สุดท้ายเรื่องก็ไม่เกิดขึ้น แต่เพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้ผมต้องลี้ภัยมาอยู่ที่ฝรั่งเศสแบบทุกวันนี้

กับการเมืองตอนนี้ ใจที่เหี่ยวเฉาของผมมันเริ่มชุ่มชื้นขึ้นได้บ้าง ผมได้เห็นคนรุ่นใหม่ออกมาพูดถึงต้นตอของปัญหาจริง ๆ สักที

ในที่สุดก็มีคนกล้าพูดแล้ว และมันพิสูจน์ให้เห็นเลยว่าขอแค่คุณเอาเรื่องที่เคยอยู่ในซอกหลืบออกมาอยู่ในที่แจ้ง ปัญหาการรับรู้ของคนก็จบ

ทุกคนเห็นความจริงแล้ว ต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายนู้นแล้วล่ะว่าจะเอาไง จะยอมถอยโดยแก้ 112 ไหม ถ้าไม่ หรือจะยอมเจอการยกเลิกทั้งหมดเลย

การเคลื่อนไหวของทุกคนในตอนนี้ดีต่อผมในฐานะคนเขียนหนังสือเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้การเขียนสิ่งที่อยากสื่อสารแล้วพิมพ์ออกไปไม่ได้ มันทำให้ผมรู้สึกขาด แต่พอน้อง ๆ ทำลายเพดานที่เคยมีอยู่ออกไปแล้ว ปัจจุบันมีสำนักพิมพ์ที่กล้าพิมพ์งานของผมมากขึ้น

ยิ่งผมอยู่ต่างประเทศผมก็สามารถเขียนงานที่เสี่ยงกับ 112 ได้มากขึ้นด้วย ซึ่งในอนาคตข้างหน้านี้ก็คงมีงานใหม่ ๆ ออกมาให้ทุกคนอ่านกัน

ถ้าถามว่าทุกวันนี้อยากกลับบ้านไหม ถ้าสังคมยังเป็นแบบทุกวันนี้ ผมก็ไม่อยากกลับนะ เพราะผมมองตัวเองเป็นประชากรของโลกแล้ว และอยู่ที่นี่ก็มีความสุขดี

แต่ถ้าถามว่าคิดถึงบ้านไหม (นิ่งคิดนานและถอนหายใจ) อดคิดถึงไม่ได้หรอกเนอะ เพราะในฐานะปู่ผมก็อยากเจอหน้าหลานบ้าง หรืออย่างเวลาเห็นรูปบ้านที่ลูกส่งให้มา มันก็หวิวในใจทุกครั้ง

แต่ชีวิตผมคงเหมือนเพลง Dust in The Wind นั่นแหละ ผมขอเป็นฝุ่นที่ปลิวไปเรื่อย ๆ ดีกว่าต้องกลับไปเป็นฝุ่นใต้ตีนของใคร

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
เปลี่ยนชีวิตใครหลายคนไปตลอดกาล

จากคนธรรมดาที่มีความเชื่อ ความฝัน เป็นคนสำคัญของครอบครัวและเพื่อนพ้อง คนธรรมดาที่ชีวิตมีทั้งรอยยิ้มและรอยน้ำตา คนธรรมดาที่ตกเป็นจำเลยทางความคิดของสังคมไทย

แชร์